สำหรับการทำงานของแคลเซียมทั่วไปจะเริ่มจาก เมื่อร่างกายได้รับแคลเซียมจากอาหาร อาหารจะถูกกรดในกระเพาะทำให้แคลเซียมแตกตัวได้ดีขึ้นและถูกดูดซึมได้ง่ายจากบริเวณลำไส้ส่วนต้นโดยอาศัย Calbindin-D ซึ่งปกติแล้วร่างกายจะดูดซึมแคลเซียมได้ประมาณร้อยละ 20-40 แต่แคลเซียมตามธรรมชาติที่อยู่ในผัก ถั่ว งา เดือย จะเข้าสู่เลือดผ่านไปตามระบบไหลเวียนโลหิตไปสู่อวัยวะต่างๆทันที ส่วนใหญ่จะเข้าสู่กระดูก นอกนั้นเข้าสู่เซลล์ต่างๆในร่างกายแล้วส่วนที่หลงเหลือจะถูกขับออกทางปัสสาวะ
โดยปกติแม้กระดูกจะไม่ยืดตัวให้เห็น แต่จะมีแคลเซียมผ่านเข้าออกจากกระดูกถึงวันละประมาณ 700 มิลลิกรัม ซึ่งแม้ว่าเกลือแร่ที่ติดอยู่ในกระดูกดูเหมือนจะติดอยู่ถาวร แต่อันที่จริงแล้วจะถูกดึงออกพร้อมกับขบวนการละลายกระดูก(restoration) และเสริมเข้าไปพร้อมกับการสร้างกระดูกใหม่ (formation)อยู่ตลอดเวลา *ทั้งนี้ขึ้นกับภาวะโภชนาการปริมาณแคลเซียมความสมดุลของฮอร์โมนและวัย*
โดยทั่วไปร่างกายจะพยายามอย่างเต็มที่ในการที่จะรักษาระดับแคลเซียมในเลือดให้ปกติเสมอ เพื่อให้อวัยวะต่างๆทำงานได้อย่างปกติ เปรียบให้ง่ายก็เสมือนว่า
- ระดับแคลเซียมที่ปกติ คือจำนวนเงินที่ติดกระเป๋าสำหรับใช้จ่ายในแต่ละวัน ส่วนที่ถูกขับออกทางปัสสาวะและแคลเซียมที่ใช้เพื่อการซ่อมแซมกระดูก เปรียบเสมือนค่าใช้จ่ายประจำวัน
แคลเซียมในกระดูก เสมือนเงินฝากในธนาคาร แคลเซียมรับจากอาหาร เสมือนรายได้ประจำวัน ถ้ารายได้น้อยกว่ารายจ่ายก็จะทำให้เกิดการขาดดุล ซึ่งถ้าเป็นเช่นนี้อยู่เป็นประจำเงินในธนาคารก็จะร่อยหรอไป นั่นก็เปรียบได้กับการที่ร่างกายได้รับแคลเซียมไม่เพียงพอต่อความพยายามรักษาระดับแคลเซียมให้ปกติ จึงต้องละลายแคลเซียมจากกระดูกมาเพิ่มให้กับเลือดทำให้แคลเซียมในกระดูกค่อยๆลดลง สุดท้ายแคลเซียมหรือเงินที่ติดกระเป๋าอยู่ก็ลดลงจนไม่พอใช้นั่นเอง
จากการศึกษาพบว่าการสะสมแคลเซียมของร่างกายมนุษย์นั้นเริ่มตั้งแต่ยังเป็นทารกในครรภ์มารดา ในแต่ละวัยร่างกายสามารถสะสมปริมาณแคลเซียมในระดับที่แตกต่างกัน ดังนี้ (โดยจะคิดเป็นอัตราส่วนต่อน้ำหนักตัว ต่อวัน )
- เด็กแรกเกิด - 9 ขวบ 100 มิลลิกรัม
- เด็กอายุ 10 ขวบ 100-150 มิลลิกรัม
- ช่วงวัยรุ่น 200-400 มิลลิกรัม
- ชายและหญิงอายุ 18 ปี 50-100 มิลลิกรัม
- ผู้ใหญ่อายุ 30 ปี 0 มิลลิกรัม
หมายความว่าหลังจากอายุ30 ปีไปแล้ว ร่างกายจะไม่สะสมแคลเซียมอีกต่อไป จึงต้องมีการเติมแคลเซียมให้ร่างกาย แคลเซียมในร่างกายเกือบทั้งหมดจะสะสมในกระดูกและฟัน ซึ่งไปช่วยทำให้เกิดความแข็งแรง อีกทั้งจะมีปริมาณแคลเซียมจำนวนน้อยๆที่อยู่ในกระแสเลือดจะมีส่วนช่วยในการสร้างฮอร์โมนและเอนไซม์ต่างๆเพื่อให้ร่างกายทำงานเป็นปกติ เช่น
- ช่วยในขบวนการทำให้เลือดแข็งตัว
- ช่วยในขบวนการสร้างภูมิคุ้มกันโรค
- ทำหน้าที่เป็นตัวนำสัญญาณระหว่างเซลประสาทให้สื่อสารกันได้เป็นปกติ
- ช่วยให้กล้ามเนื้อหดตัวได้เป็นปกติ ที่สำคัญคือกล้ามเนื้อหัวใจ
ดังนั้นหน้าที่สำคัญเหล่านี้ทำให้ร่างกายขาดแคลเซียมไม่ได้เลย เมื่อร่างกายขาดแคลเซียมก็จะไปดึงมาจากกระดูกแทน ส่งผลให้กระดูกไม่แข็งแรง เป็นที่น่าเสียดายที่คนส่วนใหญ่รับประทานแคลเซียมน้อยกว่าครึ่งของที่ควรจะได้รับต่อวัน ทำให้กระดูกบางลงเรื่อยๆและเรามักจะทราบว่าเราเป็นโรคกระดูกพรุนก็ต่อเมื่อเกิดอาการกระดูกหักง่ายแม้กระทบเพียงเล็กน้อย บำรุงแคลเซียมให้กระดูกกับแก้วมณีสมุไพร